
Uncategorized
บ้านนา ไผ่ พงศธร
ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่า ไผ่ พงศธร เป็นอีกหนึ่งนักร้องขวัญใจประชาชน โดยเจ้าตัวนั้นมีผลงานเพลงออกมาให้แฟนๆ ได้ฟังมากมาย

แต่กว่าจะเดินทางมาถึงวันนี้ มาเป็นที่รู้จักแบบนี้ หนุ่มไผ่ก็ฝ่าฟันอุปสรรคมามากมายเช่นกัน ล่าสุด ไผ่ พงศธร มาเปิดใจผ่านทางรายการ

พร้อมทั้งพูดถึงความสัมพันธ์กับนักร้องรุ่นพี่ ต่าย อรทัย ว่าจริงๆ แล้วเป็นแค่คู่จิ้นหรือว่าคู่จริง พอโตมาเราเป็นซุปตาร์อย่างนี้เลยไหม ไผ่ : “สมัยก่อนผมเป็นลูกชาวนา สมัยก่อนผมไม่มีบ้าน

ผมอยู่ทุ่งนา เวลาเดินไปเรียนต้องเดินไป 3-4 กิโลเมตร อาศัยเถียงนาเป็นบ้าน ในความลำบากตรงนั้นมันเป็นเรื่องปกติสำหรับเรา แต่คนอื่นอาจจะมองว่าลำบาก”

สถานะครอบครัวเป็นไง ? ไผ่ : “ก็ชาวนาคนนึง พี่สาวส่งเงินมาทุกบาทมันมาลงที่เรา” ตอนเข้ากรุงเทพฯมาอาชีพแรกที่ทำคืออะไร ? ไผ่ : “ร้านลาบครับ
ช่วงปิดเทอมเราก็มาช่วยตลอด แต่เราไม่ได้เป็นเงินเดือนนะ เขาอยากให้ก็ให้ เพราะมันคือธุรกิจทางบ้าน เราเคยพิสูจน์ตัวเองอยากทำงานที่อื่น แต่สุดท้ายก็ไปไม่รอด

ก่อนที่ผมจะมาช่วยเขาขายลาบ ผมเคยชกมวย ค่าตัว 150 บ. ไปซื้อรองเท้า เสื้อผ้าที่เราอยากได้ แล้วก็รำตามหมู่บ้าน”

เส้นทางการเป็นนักร้องมันไม่ได้ง่ายเลย ? ไผ่ : “มันชั่วข้ามคืน ก่อนที่ผมจะเป็นนักร้อง ผมรู้จักกับหยก ลูกหยี ซึ่งเป็นผู้จัดการคนแรกเลย

พี่เขาพาผมไปนั่งดูเขาซ้อมเพลงในห้องอัดแถวลาดพร้าว แล้วอาจารย์สมพรเป็นคนถามผมว่าร้องเพลงเป็นไหม ผมก็ร้องเพลงให้เขาฟัง เขาก็บอกให้ทำเดโม่

หลังจากนั้นพี่หยกไปที่อุบลราชธานีแล้วไปเจอครูสลา ครูก็ถามว่าใครร้อง ครูบอกให้พามาเทสเสียง หลังจากนั้นผมก็กลับมาขายลาบเหมือนเดิม ขายอยู่เป็นปี

เขาก็โทร.มาบอกว่ามาที่บริษัท ผมไม่รู้เลยว่าเขาจะพาผมไปทำอะไร เขาก็ให้ผมเซ็นเอกสาร แล้ววันนั้นเป็นวันแรกที่ผมเจอครูสลา”

ช่วงก่อนที่เป็นนักร้องดังเคยลำบากเหลือเงิน 5 บาท ? ไผ่ : “ช่วงนักร้องที่ลำบากน่าจะเป็นช่วงที่เซ็นสัญญา แล้วก็อยากพิสูจน์ตัวเองอยู่ด้วยตัวเอง ช่วงนั้นเหมือนเราเข้ามาใหม่ๆ

ไม่ได้มีอะไร ผมได้ว่าวันนั้นผมอยู่กับหลาน ผมเหลือเงินอยู่ 5 บาท เขาก็ไปทำงานกันหมดไม่รู้ทำไงก็ไปซื้อข้าวมาถุงนึงแล้วขอซอสเขามาคลุกข้าว

แล้วก็กินน้ำประปา ในช่วงเวลานั้นก็มีการขึ้นรถเมล์ โดยที่ไม่ต้องจ่ายเขา เพราะไม่มีเงินจ่ายเขาก็ไล่ลง” ช่วงนั้นลำบากสุดเลยไหม ? ไผ่ : “ในตอนที่เราเป็นเด็กมันก็ลำบากแบบนั้นแหละพี่

เราใช้ชีวิตอย่างนั้นมาตลอด มีก็กิน ไม่มีก็ไม่เป็นไร เมื่อก่อนอยากกินข้าวเราก็ถือเหไปหว่านก็ได้กิน แต่ชีวิตในกรุงเทพมันไม่ง่ายเหมือนที่เราคิด สุดท้ายมันก็ไปจบที่ร้านลาบเหมือนเดิม

ซึ่งหลังจากที่เซ็นสัญญาเป็นศิลปินแกรมมี่ผมก็ไม่ได้ทำงานเลย 2 ปีหลังจากเซ็นจะได้ออกอัลบั้มชุดแรก และหลังจากนั้นบริษัทก็ช่วยเหลือให้ผมมาอยู่แถวรัชดา แล้วก็ไปวงพี่ไมค์”